![]() |
10 + 2 หนังเรื่องโปรดแห่งปี 2014 |
จริงๆ แล้วที่ List หนังโปรดประจำปี 2014 ออกมาช้านั้นเป็นเพราะอยากจะตามเก็บหนังในของปีที่ผ่านมาให้ครบทุกเรื่องเสียก่อนจะได้ List ของหนังปีนั้นทั้งหมดโดยไม่มีหนังดีๆ ตกหล่นข้ามปีไป (จริงๆ คือลืม 555+) จะว่าไปปีที่ผ่านมานั้นหากนับแล้วเป็นปีที่รู้สึกว่ามีหนังดีๆ ไม่ค่อยเยอะมากนัก ขนาดว่าปล่อยๆ คะแนนยังมีน้อยเรื่องที่จะได้ 4 ดาวเต็ม แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายเรื่องที่พาเอาฟินขั้นสุดแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาหลายปีแล้วเช่นกัน พล่ามมาก็ยาวแล้ว ลองมาดูเหตุผลแต่ละเรื่องดีกว่าว่าทำไมผมจึงเลือกหนังเหล่านี้มาเข้า List หนังโปรดในดวงใจประจำปี 2014
1. The Tale of Princess Kaguya:
อนิเมชั่นที่ควรค่าแก่รางวัลที่สุดประจำปี (สำหรับผมนะ)
ถือเป็นจิบลิเรื่องแรกที่ดูแล้วเข้าใจแก่นสาร ดูแล้วอินมาก ลายเส้นพู่กันนี่วิจิตรงดงามตระการตา
สุดท้ายจบลงด้วยน้ำตาไหลพรากระหว่างนั่งฟังเพลง end
credit จนจบ พร้อมแง่คิดเรื่องการเลี้ยงลูกที่คงติดตัวไปอีกแสนนาน
2.
The Lego Movie:
ดีใจที่ได้เห็นของเล่นชิ้นโปรดในวัยเด็กมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์
ฮาเฮกันขั้นสุดยอด ความคิดสร้างสรรค์นี่มาเต็มสูบ
เล่นมุกตลกกับคาแรคเตอร์ตัวละครได้ดีเลิศ มีพลังความบันเทิงเต็มเปี่ยมมากๆ แฟนๆ
ของเล่นอย่างผมนี่ตื้นตันจริงๆ
3.
Nightcrawler:
หนังที่ดูแล้วถึงเข้าใจทำไมทุกอาชีพถึงควรปลูกฝังจรรยาบรรณ
หนังจิกกัดวงการข่าวในด้านมืดด้วยความเมามันส์ ดำเนินเรื่องด้วยจังหวะเร้าใจ
น่าติดตาม เป็นหนังตลาดกึ่งรางวัลที่โคตรสนุก โคตรมันส์ โคตรดาร์กได้ใจ
จนได้แต่สงสัยทำไมสำนักรางวัลต่างมองข้ามกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงของ เจค
จิลเลนฮาล
4.
22 Jump Street:
มันเป็นหนังล้อเลียนขนบหนังแอคชั่นที่ดูสนุกชิบหาย
มุกปล่อยมามากมายแต่ก็เข้าเป้าเต็มๆ ไปหลายต่อหลายดอก ในด้านประเด็นเรื่องอาจดูซ้ำกับภาคแรกไปหน่อย
แต่โดยรวมก็นับเป็นหนังตลกที่ฮาที่สุดของปีจริงๆ
5.
Captain America-Winter Soldier:
นับเป็นความชาญฉลาดที่เอาฮีโร่ที่โคตรเชยมาผสานกับหนังสไตล์สายลับ ที่มีทั้งทฤษฎีสมคบคิด
และหนอนบ่อนไส้ในองค์กร ทำให้จากหนังฮีโร่ที่ดูไม่มีอะไรเข้มข้นขึ้นเป็นกอง
ทั้งเนื้อเรื่องที่ชวนติดตาม ฉากแอคชั่นสุดเท่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ Captain America 2 เป็นแอคชั่นฮีโร่ประจำนี้
6.
How to train your dragon 2:
ทุกอย่างมันพัฒนาขึ้นมาจากภาคแรกเต็มที่จริงๆ
ทั้งตัวละครที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น ภาพที่สวยขึ้น และเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้นตามไปด้วย โดยสรุปมันก็คือมันคือแอนิเมชั่นภาคต่อที่ต่อยอดทุกอย่างมาตามวัยทุกปัจจัยล้วนแต่ดีขึ้น
และยังรักษาหัวใจของเรื่องราวเอาไว้ได้อยู่
7.
Boyhood:
ที่สุดของการเชิดชู ยกย่องในความเรียบง่ายของการใช้ชีวิต
ใครจะไปรู้ว่าการเฝ้าดูการเติบโตที่แสนธรรมดาของเด็กคนหนึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้นจะสอนอะไรเราได้หลายๆ
ต่อหลายอย่าง ได้เห็นสัจธรรมและความเป็นไปของชีวิต
8.
Whiplash:
ไม่รู้จะบ้าคลั่งไปถึงไหน หนังดนตรีอะไรลีลาเร้าใจอย่างกับหนังสงคราม
ขนาดว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจในด้านดนตรี แต่หนังก็สื่อความหนักหน่วง รุนแรง
กระแทกใจได้สุดติ่งจริงๆ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ลากขึ้นไปจนหัวใจจะวาย
สุดท้ายต้องปรบมือเสียงดังให้โดยไม่รู้ตัว
9.
Dawn of Planet of the Apes:
ตัวอย่างของการสร้างหนังป็อปคอร์นดีๆ
ที่นอกจากจะได้ความบันเทิงเต็มเปี่ยมแล้วยังมีประเด็นและแง่คิดแทรกอยู่ตลอดเวลา
เปรียบเสมือนจั๊งฟู้ดที่กินด่วนกินง่ายกินเร็ว แต่ต่างกันตรงที่มันดันมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายด้วยนี่สิ
10. The Grand Budapest Hotel:
ไม่ว่าจะยังไง Paul WS Anderson ก็ทำหนังสไตล์เดิมมาตลอด
กับการรวมพลคนป่วยจิตที่ดูปกติในโลกของเขา
แต่ที่ต่างไปคือเรื่องนี้มันฟรุ้งฟริ้งอลังการงานสร้างมาก
แล้วความบ้ามันลากเราไปสุดทางจนเรายอมบ้าไปกับตัวละครแต่ละตัวไปด้วยเฉยเลย
11. Interstellar:
มองยังไง Nolan ก็คือผู้กำกับที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริงๆ
จริงอยู่ที่รสชาติมันอาจจะดูแปลกไปจากหนังที่ผ่านมาของเขาจนดูไม่ “เหนือชั้น” อย่างที่หลายคนคาดหวัง
แต่การเคี้ยวทฤษฎีที่โคตรยุบยั่บซับซ้อนเล่ายาก
ออกมาป้อนให้คนดูถึงปากจนกลืนได้เลย
ก็นับเป็นชั้นเชิงและความสามารถที่ยากจะมีคนเทียบจริงๆ
12. Fault
in our star:
เป็นหนังที่คนดูรู้อยู่แล้วตั้งแต่หน้าปกว่าจะต้องเศร้า
ต้องเสียน้ำตา แต่ตัวหนังจริงๆ กลับพยายามทำตัวเริงร่า มองโลกแง่ดี
ชวนเราคิดบวกไปกับหนังจนเผลอลืมไปว่าสุดท้ายจะต้องเศร้านะเว้ย
แต่แล้วสุดท้ายหนังมันก็ไม่ได้เรียกร้องบีบคั้นน้ำตาจากคนดูแม้แต่น้อย
แถมยังมุ่งสร้างโลกสวยกันต่อไป แต่คนดู (อย่างผม) ก็ทนไม่ไหวเสียน้ำตาอยู่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น