 |
รีวิว RoboCop
|
คงไม่มีใครที่เป็นคอหนังแอคชั่นยุค 80s แล้วไม่รู้จักหนังตำรวจเหล็กประจำเมืองดีทรอยท์อย่าง
RoboCop แน่นอน ด้วยประเด็นที่เสียดสีการเมืองอย่างเข้มข้น ฉากแอคชั่นดิบๆ บวกกับนักแสดงนำอย่าง Peter Weller แล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจที่
RoboCop จะเป็นหนังขึ้นหิ้งในสมัยนั้น แต่น่าเสียดายที่ภาคต่อๆ มาหนังกลับทำได้ล้มเหลว เละเทะมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เลิกทำไปเลย ซึ่งผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็นับว่าสมควรแก่เวลาที่ยุคแห่งการรีเมคเฟื่องฟูจะหยิบ
RoboCop ขึ้นมาทำใหม่ โดยในเวอร์ชั่นนี้เพียงแค่โฉมแรกก็เห็นได้ว่า
RoboCop ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองให้ดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
 |
รีวิว RoboCop - pic1 |
โดย
RoboCop ในภาคนี้ก็ได้เล่าเรื่องในโลกอนาคตปี 2028 ที่เกิดข้อถกเถียงกันในเรื่องข้อกฏหมายการใช้จักรกลมาดูแลรักษาความปลอดภัยแทนมนุษย์ โดยที่ฝ่ายหนึ่งก็พยายามจะลดความเสี่ยงอันตรายโดยการให้ใช้จักรกลมาทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย แต่ทว่าด้วยความเป็นจักรกลก็ทำให้ไม่มีความรู้สึกหรือสภาพจิตใจที่จะตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ในทุกสถานการณ์จนเป็นสาเหตุที่อีกฝ่ายออกมาโต้แย้ง ทำให้บริษัทผลิตจักรกลอย่าง Omnicorp จึงดัดแปลงร่าง Alex Murphy ตำรวจตงฉินที่ดันไปพัวพันกับคดีแล้วโดนระเบิดร่างกายหายไปกว่า 80% ให้กลายเป็น
RoboCop เพื่อดูแลรักษาเมือง และในขณะเดียวก็หวังที่จะสร้างกำไรให้กับธุรกิจตัวเองไปด้วย
 |
รีวิว RoboCop - pic2 |
แม้ว่า RoboCop ภาคนี้จะเป็นการ Remake มา แต่ก็ต้องขอชมว่ายังดีที่ Remake หนังออกมาด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไปจากเดิม โดยที่หัวใจของหนังอย่างเรื่องมนุษยธรรมและการเสียดสีการเมืองก็ยังคงอยู่ ซึ่งหนังมีทั้งส่วนที่น่าจะทำให้คอหนัง RoboCop เก่า และแฟนคลับหน้าใหม่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าจะพอใจได้ อย่างรูปลักษณ์ใหม่ที่เปลี่ยนไปดูปราดเปรียวและทันสมัยขึ้นเพื่อเอาใจเด็กรุ่นใหม่ แต่ก็ยังมีการหยิบเอาชุดเวอร์ชั่นคลาสสิคออกมาให้สาวกได้ฟินกันทั้งในช่วงต้นและช่วงท้ายของหนังเสมือนเป็นคารวะต่อตัวหนัง RoboCop ต้นฉบับเหมือนกัน
หากใครคาดหวังว่า RoboCop จะเต็มไปด้วยฉากแอคชั่นก็คงจะต้องผิดหวังออกมาเพราะนับจริงๆ ก็มีแค่ไม่กี่ฉาก เพราะหนังอุดมไปด้วยดราม่าและประเด็นศีลธรรมที่เข้มข้นอยู่แทบทั้งเรื่อง แต่ก็น่าแปลกที่ RoboCop ฉบับนี้ยังทำออกมาได้ดูสนุกและเพลินไปกับการเล่าเรื่องโดยที่ไม่น่าเบื่อแต่อย่างใด แม้ว่าจะมีฉากแอคชั่นเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่น่าเสียดายที่เหมือนว่าช่วงครึ่งหลัง หนังยังคงย่ำอยู่กับประเด็นเดิมๆ ไม่ไปไหน จนสุดท้ายก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเพิ่มเติมนอกจากเรื่องปัญหาศีลธรรมข้างต้น ส่วนฉากแอคชั่นก็ยังได้ไม่ถึงมากนัก ส่วนตัวคิดว่าหากดันหนังให้กลายเป็นเรท R แล้วยิงกันไส้แตกไปเลยหนังก็น่าจะฟินกว่านี้ได้ไม่ยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น