วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
บันทึกน้ำตาหมื่นลิตรชีวิตโปรแกรมเมอร์: บทนำ
จากเรื่องเล่นๆ มาสู่บทความจริง
เอาจริงๆ โปรเจ็คเรื่อง "บันทึกน้ำตาหมื่นลิตรชีวิตโปรแกรมเมอร์" มันก็แค่หัวข้อหนึ่งที่คิดขึ้นมาเล่นๆ ในวันหนึ่งของการทำงานที่รู้สึกสิ้นหวังกับสายอาชีพนี้เสียเหลือเกินเมื่อหลายปีก่อน ไม่ได้คิดว่าหลังจากวันนั้นจะเริ่มต้นเขียนมันขึ้นมาจริงๆ แม้แต่น้อย แต่ด้วยความที่ชีวิตยังต้องวนเวียนอยู่กับสายนี้ และผ่านการทำงานในสายงาน IT แม้จะเป็นเวลาแค่เพียง 3 ปีกว่าๆ กับ 3 องค์กร แต่กลับรู้สึกว่ามันมีสิ่งต่างๆ มากมายที่พอจะนำมาผูกเป็นเรื่องเป็นราวถึงชะตากรรมชีวิตของโปรแกรมเมอร์อีกหลายชีวิตได้ประสบมาร่วมกันมาโดยตลอดแม้จะไม่ใช่ทุกคนก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เชื่อว่าคนส่วนมากก็น่าจะเผชิญปัญหาเดียวกันเมื่อดูจากอัตราการ Turn Over ของสายอาชีพที่สูงเอาการ (สังเกตเอาจากระหว่่างที่ทำงานต้องมีคนออกระหว่างทางอยู่เพียบ...) บวกกับเสียงบ่นไปในทางเดียวกัน จนทำให้ทุกครั้งเห็นใครตั้งสเตตัสบน Facebook แนวๆ นี้ ก็อดที่จะไปกดไลค์ ซึ่งเปรียบเสมือนการเดินเข้าไปตบไหล่คนนั้นเบาๆแล้วบอกว่า "เราเข้าใจนายนะ" อย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ก่อนที่จะไปถึงไหนต่อไหน อยากให้มาทำความเข้าใจกันก่อนว่าจุดประสงค์ของบทความนี้นั้น ไม่ได้มุ่งหวังที่จะโจมตีองค์กรต่างๆ ที่ได้เคยร่วมงานมา (และแน่นอนว่าจะไม่เอ่ยชื่อ แต่ถ้าใครรู้ก็เก็บไว้ในใจพอนะ) ไม่ได้คิดว่าจะทำให้เด็กรุ่นใหม่ย้ายไปเลือกสายอื่นหลังจากได้อ่าน หรือมุ่งด่าวงการด้วยความเมามันส์นี้แต่อย่างใด เพราะเห็นได้ชัดว่าประเทศไทยยังขาดแรงงานอาชีพด้านนี้อยู่มาก หากขาดไปอีกก็คงยิ่งลำบากเป็นแน่ แต่ที่อยากเขียนขึ้นมาก็เพียงแต่อยากจะแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองทั้งด้านที่แฮปปี้และความเฮงซวยของสายอาชีพในบางมุม ให้ใครก็ตามที่คิดจะเดินตามทางสายนี้ได้พอเข้าใจและเห็นภาพในสิ่งที่ต้องเผชิญในอนาคตของอาชีพนี้ใน "ด้านหนึ่ง" (ซึ่งก็ต้องขอย้ำว่าเป็นแค่มุมมองจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองล้วนๆ หลายคนอาจจะมีมุมดีๆ หรือรักในอาชีพนี้ก็ดีไปคับ) รวมไปถึงอยากให้สายอาชีพอื่นๆ ให้ได้เข้าใจถึงชีวิตโปรแกรมเมอร์ในมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนด้วย เผื่อว่าวันหนึ่งคุณจะได้เปลี่ยนความคิดใน "ขั้นต้น" ว่าที่จริงแล้วพวกเราไม่ใช่อาชีพที่ทำและแก้ไขทุกอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกอย่างแบบที่คุณเข้าใจกันอยู่ ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวในขั้นต่อๆ ไป ที่อาจทำให้คุณรู้สึกเวทนาและเห็นใจเรามากขึ้นก็ได้นะ ^ ^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น