วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Movie] รีวิว Unbroken --> (* * * 1/2)


รีวิว Unbroken


ผมเพิ่งได้มีโอกาสรู้จักกับช่วงหนึ่งของชีวิตอันน่าสนใจของชายที่มีชื่อว่า Louie Zamperini ในมุมอเมริกันฮีโร่เมื่อช่วงหลายเดือนก่อน จากการโปรโมทของ Unbroken ในฐานะผลงานกำกับเรื่องที่ 2 ของ Angelina Jolie ไปพร้อมๆ กับการเปิดตัวหนังสือในชื่อเดียวกันฉบับแปลไทย (ที่ใช้ชื่อไทยว่า ไม่มีวันดับสูญ จากสำนักพิมพ์ Earnest) ซึ่งส่วนตัวนั้นไม่ได้อ่านเนื่องมาจากผู้แปล ก็เลยได้แต่ไปลองค้นคว้าข้อมูลเรื่องราวดูเอาเอง จนได้พบว่าชีวิตของผู้ชายคนนี้นั้นช่างเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่จะนำมาดัดแปลงเป็นหนังจริงๆ

รีวิว Unbroken -pic1
**** เรื่องย่อในย่อหน้านี้เป็นชีวประวัติเบื้องต้นของ Louie ที่เกิดขึ้นใน Unbroken ถ้าใครไม่อยากรู้อะไรก่อนก็สามารถข้ามไปได้เลย ****

โดย Unbroken นั้นก็เล่าถึงชีวประวัติของ Louie Zamperini ตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก เพื่อปูให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักวิ่งโอลิมปิกของเขา ก่อนที่จะเข้ารับหน้าที่ทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกลงน้ำจนต้องหาทางเอาชีวิตรอดอยู่บนเรือยางอยู่กว่า 49 วัน จนกระทั่งถูกพบโดยทหารญี่ปุ่นและต้องตกไปเป็นเชลยที่ถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจเป็นเวลาถึง 2 ปี (จะมีใครซวยกว่านี้ได้อีกไหม) ก่อนที่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขา (ในวัย 80 ปี) ก็ตัดสินใจให้อภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไปวิ่งถือคบเพลิงในโอลิมปิกที่โตเกียวอีกครั้ง

รีวิว Unbroken -pic2
ซึ่งหากมองในด้านคุณภาพของสายหนังรางวัลนั้น Unbroken อาจไม่ได้ดีพอที่จะไปถึงฝั่งฝันกับแต่ละรางวัลที่เข้าชิงไป เพราะตัวหนังเองก็ไม่ได้มีด้านไหนที่โดดเด่นได้กว่าคู่แข่งที่เข้าชิงในสาขาเดียวกันแม้แต่น้อย แต่หากตัดความคิดที่ว่า Unbroken เป็นหนึ่งในหนังรางวัลออกไป และให้ความสนใจในฐานะหนังตลาดแล้วก็นับว่าเป็นหนังที่ดีมากๆ อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งด้านความบันเทิงที่หนังมอบให้จนดูได้เพลินอยู่ตลอดทั้งเรื่องและไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลยในระยะเวลา 2 ชั่วโมงกว่า ซึ่งในส่วนนี้อาจต้องยกความดีความชอบให้ผู้กำกับอย่าง Jolie ที่รู้จังหวะในการเล่าเรื่องเป็นอย่างดี พอถึงจุดที่คิดว่านานเกินไปก็เลือกที่จะตัดฉากไปเล่าในส่วนอื่นแทน

รีวิว Unbroken -pic3
ส่วนคุณงามความดีในด้านอื่นๆ ก็ได้แก่ หนังมีโปรดักชั่นที่ดูอลังการสมกับงบ 65$ ล้าน ที่ขอทางค่ายมาได้ ทำให้ได้เห็นฉากและภาพสวยๆ อยู่หลายมุม ซึ่งแม้ว่าหลายต่อหลายฉากอาจมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างบทพูดหรือหลุดโทนไปบ้างตามสไตล์ผู้กำกับหน้าใหม่ แต่เมื่อสัมผัสถึงความตั้งใจและ passion ในการทำงานแล้วก็พอที่จะมองข้ามไปได้อยู่เช่นกัน ทำให้ถึง Unbroken จะทำออกมาดูเป็นหนังชีวประวัติกึ่งสงครามโลกที่ดูคลิเช่มาก แต่ใครจะสนใจกันล่ะถ้าถึงแม้ออกมาซ้ำ แต่ยังทำออกมาได้ให้ดูสนุกได้อยู่ดี










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น