 |
| รีวิว The Imitation Game |
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการหยิบเอาประวัติส่วนหนึ่งของ Alan Turing มาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ก็นับได้ว่าตั้งแต่สร้างมานั้น
The Imitation Game น่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่ทำออกมาได้ดีที่สุด กับการเล่าเรื่องราวใน 3 ช่วงชีวิตของชายคนนั้นตัดสลับกันไป ทั้งด้านชีวิตรักใสๆ สมัยเรียนที่สื่อออกมาให้เราเห็นและเข้าใจถึงเพศสภาพของชายคนนี้ ด้านการทำงานที่จริงจังและเข้มข้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เขาได้คิดเครื่อง Turing Machine ออกมาเพื่อนำมาถอดรหัสเครื่อง Enigma จากทางฝั่งเยอรมัน และสุดท้ายคือช่วงชีวิตหลังจากสงครามที่เขาต้องเผชิญกับสภาวะที่โดนคาดโทษในฐานะที่เป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งในสามช่วงที่ว่าก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างกลมกล่อมมากๆ
 |
| รีวิว The Imitation Game - pic1 |
The Imitation Game นั้นมีคุณสมบัติทุกประการที่จะเป็นหนังรางวัลอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งการแสดงของดาราที่เรียกได้ว่าน่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของ Benedict Cumberbatch แล้วก็ว่าได้ เพราะดูยังไงตัว Alan Turing นั้นก็เปรียบเสมือน Sherlock Holmes (ที่เป็นบทแจ้งเกิดของเขา) ในเวอร์ชั่นอัพเกรดให้สามารถแสดงซีนอารมณ์ได้อย่างน่าทึ่ง และทำตัวให้น่าหมั่นไส้แต่ก็เกลียดไม่ลง ส่วนด้านบทและเนื้อเรื่องก็ถูกเล่าอย่างพิถีพิถันอีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความบันเทิงที่ทำให้แม้แต่คอหนังตลาดก็สามารถสนุกสนานไปกับมุกตลก และการดำเนินเรื่องในแต่ละพาร์ทได้อย่างเพลิดเพลิน ต่างจากหนังรางวัลเรื่องอื่นที่ทำคนดูทั่วไปแทบจะหลับคอพักกันไปตามๆ กัน
 |
| รีวิว The Imitation Game - pic2 |
ทั้งนี้
The Imitation Game ยังมีไดอาล็อกที่น่าสนใจและมีการนำมาใช้ซ้ำให้เข้ากับสถานการณ์ไม่ใช่แค่การพูดคำพร่ำเพรื่อไปเรื่อยแบบไม่มีแก่นสาร ทำให้ระหว่างดูหรือแม้กระทั่งตอนดูจบคนดูก็จะได้แง่คิดต่างๆ ติดหัวออกมาตามๆ กัน จริงๆ ส่วนตัวแล้วมองว่าหนังทำได้ดีในช่วงพาร์ทวัยรุ่นที่ทำออกมาได้น่ารักน่าหยิก และยอดเยี่ยมมากในช่วงที่สงครามโลกกับการสร้างความน่าตื่นตาใจกับพลังกับการเล่าผ่านตรรกะ แต่น่าเสียดายที่ในพาร์ทหลังสงครามนั้นอาจจะดูแผ่วปลายไม่สักหน่อย ฉากดึงอารมณ์ดูมีน้อย และเนื้อหาก็ไม่ได้น่าสนใจหรือมีอะไรเพิ่มจากช่วงก่อนมากนักนอกจากการพาหนังไปถึงบทสรุป ไม่เช่นนั้นแล้ว
The Imitation Game น่าจะออกมาทรงพลังและเรียกเสียงปรบมือได้หลังดูจบอย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น