 |
| รีวิว Foxcatcher |
สำหรับรางวัลใหญ่ๆ ในปีนี้นั้น
Foxcatcher น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยม และดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยการกำกับชนิดป๋าดันของ Bennett Miller ที่แม้จะมีผลงานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 3 ต่อจาก Capote ที่ส่ง Phillip Seymour Hoffman เก็บมาได้หลายรางวัล และจาก Moneyball ที่เข็นทั้ง Brad Pitt กับ Jonah Hills คว้ารางวัลกันมาอย่างน่าชื่นตาบาน จึงไม่น่าแปลกใจนักหากปีนี้นักแสดงชายหลักทั้ง 3 อย่าง Channing Tatum, Steve Carell และ Mark Ruffalo จะได้รางวัลติดมือกลับมาเช่นกัน
 |
| รีวิว Foxcatcher - pic1 |
โดยสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือเหล่าดาราทั้ง 3 นี้ ไม่ได้เล่นหนังดราม่าหนักๆ เป็นแนวถนัดมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อได้รับชมการแสดงของพวกเขาใน
Foxcatcher แล้วก็ต้องเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ เพราะหากไม่ใช่ 3 คนนี้ก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะให้ใครมาเล่นแทนตัวละครหลักเหล่านี้ ซึ่ง
Foxcatcher นั้นก็หยิบเอาเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริงในวงการกีฬามาเล่า โดยเรื่องก็เริ่มต้นจาก มาร์ค ชูลท์ อดีตนักกีฬามวยปล้ำเหรียญทองโอลิมปิกที่ต้องตกอยู่ภายใต้เงาของพี่ชายมาโดยตลอดจนเกิดเป็นปมในใจที่อยากจะเหนือกว่า เดฟ ชูลท์ พี่ชายของเขาให้ได้ แต่แล้ววันหนึ่งโอกาสก็มาถึงเมื่อมหาเศรษฐีที่หลงใหลในกีฬามวยปล้ำอย่าง จอห์น ดูปองค์ ก็เข้ามาเสนอให้เขาได้เข้าร่วมทีม
Foxcatcher ที่มีเป้าหมายจะเป็นที่หนึ่งในวงการมวยปล้ำเช่นกัน
 |
| รีวิว Foxcatcher - pic2 |
ซึ่งหากมองที่คุณภาพตัวหนังเน้นๆ แล้วนับว่า
Foxcatcher นั้นยังด้อยกว่าผลงาน 2 เรื่องก่อนหน้าของ Bennett อยู่เล็กน้อย ด้วยการเล่าเรื่องอันเนิบช้า และมีหลายต่อหลายฉากที่ดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร เลยทำให้หลายช่วงของหนังดูเนือยเกินกว่าที่ควรจะเป็น แถมหนังก็ยังทำออกมาได้ไม่เข้มข้นเท่าที่ควร แต่ข้อดีนั้นก็มีหลากหลายเช่นกัน ทั้งการกำกับอันแสนปราณีตที่ทำให้ทุกฉากนั้นออกมาเป๊ะเว่อร์ แม้ว่าจะเป็นแค่ฉากสนทนาธรรมดาทั่วๆ ไปก็กลับมีพลังกดดันได้อย่างล้นเหลือโดยใช้ความเงียบเข้ามาเป็นอาวุธในฉากต่างๆ
 |
| รีวิว Foxcatcher - pic3 |
แต่ส่วนที่เด็ดที่สุดของเรื่องนั้นก็คือการแสดงของดาราทั้ง 3 ที่เน้นเล่นนิ่งแต่โดนมาก ทั้ง Tatum ที่ลบภาพลักษณ์พระเอกหนุ่มที่มีดีแค่ขายหน้าตากับหุ่นล่ำๆ ไปวัน ส่วน Carell ก็นิ่งได้น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเขามาเลย และ Ruffalo ก็พลิกบทบาทได้น่าสนใจอยู่พอตัว ทำให้แต่ละครั้งที่พวกเขาเข้าฉากร่วมกันนั้นจึงรู้สึกได้ถึงพลังกดดันอันเปี่ยมล้นของหนังจนกลายมาเป็นส่วนที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ และด้วยมิติของตัวละครที่ลึกมากแต่ละตัวละครมีปมที่น่าเห็นใจและรองรับทุกๆ การกระทำในเรื่อง จนยากจะคาดเดาถึงการกระทำของพวกเขาในเรื่องอยู่ตลอด ทำให้โดยรวมแล้วแม้หนังอาจจะดูเนือยๆ ไปสักนิด แต่รับรองเลยว่าพลังดาราจะทำให้เราไม่เบื่อไปตลอด 2 ชั่วโมงกว่าของหนังได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น