วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[Movie] รีวิว Whiplash --> (* * * *)


ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าในการดูภาพยนตร์นั้น มีภาพยนตร์อยู่จำพวกหนึ่งที่ขอให้นิยามว่า "ถ้าไม่ได้ดูที่โรงก็อย่าดูเลย"เพราะคุณจะไม่ได้อรรถรสเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็นแน่นอน ซึ่งหนังที่อยู่ในประเภทนี้ไม่ได้จำกัดแนวว่าจะต้องเป็น Action เป็น Comedy เป็น Drama หรือเป็น Horror แต่อย่างใด แต่ขึ้นอยู่กับเรื่องๆ ไปว่าจะดึงประโยชน์จากบรรยากาศในโรงภาพยนตร์มาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งบางทีก็บอกไม่ถูกว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ นอกจากรู้สึกแค่ว่า หากไม่ได้ดูที่โรงคงไม่ได้ฟินสุดแบบนี้แน่นอน ที่ร่ายมาเสียยาวนั้นก็เพียงเพื่อจะบอกว่าสำหรับผมแล้ว "Whiplash" คือหนังที่ต้องจัดให้อยู่ในหมวดนี้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ จริงๆ


 
เกริ่นก่อนสักนิดว่า Whiplash เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับหนึ่งในด้านดนตรีบรรเลงของประเทศอเมริกา ที่ตัวเอกอย่าง แอนดรูว (Miles Teller) เรียนอยู่ ซึ่งวันหนึ่งขณะที่เขาซ้อมกลองอยู่นั้น ฝีมือก็ดันไปเข้าตา เฟล็ทเชอร์ (J.K. Simmons) ผู้ที่เป็นทั้งครูฝึกและคอนดักเตอร์สุดเฮี้ยบของวงหลักในมหาวิทยาลัย ซึ่งเมื่อ แอนดรูวได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในวงนั้นก็ทำให้การวิ่งตามความฝันของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จริงอยู่ว่าเมื่ออ่านเรื่องย่อแล้วหลายคนอาจจะคิดกันไปว่า โห!! Whiplash นี่มันหนังสูตรชัดๆ กับเรื่องของคนที่พยายามไล่ตามความฝันที่มีมารู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้ว ซึ่งโอเคก็ต้องยอมรับว่า Whiplash เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เชื่อเถอะว่าหนังแนวไล่ตามฝันที่ผ่านมานั้น มันไม่ดาร์ค ไม่โหดร้าย และดูสมจริงจนแทบสิ้นหวังแบบที่ Whiplash ทำได้อย่างแน่นอน (หรือถ้าจะมีจริงๆ ก็น้อยเรื่องมาก เท่าที่นึกได้เรื่องนึงก็คือ โหมโรง)

 
ซึ่งนอกจากธีมเรื่องที่จะกดดันคนดูแทบทั้งเรื่องแล้ว หมัดเด็ดของ Whiplash ก็คือจังหวะการกำกับที่ทุ่มพลังใส่เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งการตัดภาพ การใช้เสียง การแสดงดารา ที่มาเต็มสตรีมอยู่ตลอดทั้งเรื่องแบบไม่มีดรอปลงมาตั้งแต่ฉากเปิดไปจนถึงฉากสุดท้าย หรือเรียกง่ายๆ ว่าหนังมันมีจุดพีคอยู่ตลอดทั้งเรื่อง พีคแบบไม่ให้หยุดพักหายใจ พีคแบบหายใจไม่ทั่วท้อง ซึ่งหาก Whiplash เป็นหนังแอคชั่นก็จะเป็นฉากยิงถล่ม ปาระเบิดกันเละเทะตายกันเป็นร้อยเป็นพันศพ วินาศสันตะโรได้เทียบเคียงฉากยกพลขึ้นอ่าวนอมังดีใน Saving Private Ryan เลยก็ว่าได้


นอกจาก Whiplash จะมีจังหวะการกำกับและการเล่าเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว อีกส่วนที่ต้องชมแบบลืมไม่ได้เลยก็คือ ดารานำทั้งคู่อย่าง Miles Teller และ J.K. Simmons ที่มีพลังการแสดงอันล้นเหลือมากๆๆ สำหรับ Miles นั้นถือว่าแจ้งเกิดจาก Whiplash ได้อย่างสวยงามกับหลายฉากตีกลองอันบ้าคลั่งในทุกๆ ฉาก และการเข้าถึงสภาพจิตใจของเด็กหนุ่มที่ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อไปให้ถึงฝันได้อย่างเชื่อได้สนิทใจว่าเขาคือตัวละครนั้นจริงๆ และเป็นมือกลองที่เทพได้ระดับนั้นจริงๆ ส่วน J.K. Simmons ก็สวมวิญญาณครูนรกได้อย่างน่ากลัว ต้องนั่งเกร็งตัวทุกครั้งที่ป๋าแกขยับท่าทาง คือมีพาวเวอร์และพลังการแสดงในระดับสูงมากจนต้องยอมรับเลย และยิ่งเมื่อทั้งคู่ได้เข้าฉากด้วยกันนั้น ยิ่งใส่กันเต็มพิกัดจนต้องยอมรับในฝีมือของทั้งคู่แบบเต็ม 100 จนเชียร์ให้เข้าชิงออสการ์และสอยรางวัลดารานำชายและสมทบชายกลับมาได้ทั้งคู่เลย

สุดท้ายแล้วอยากจะบอกว่า Whiplash คือหนังระดับพรีเมี่ยมอีกเรื่องที่คุณภาพยอดเยี่ยมแบบไร้ข้อกังขา กับพลังของหนังที่ล้นเหลือเกินบรรยาย อีกทั้งยังดูง่าย เข้าถึงได้ทุกคน ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ลากจูงคนดูไปถึงจุดพีคขั้นสุดจนต้องนั่งขนลุกอีกสักพักแม้ว่าหนังจะจบไปแล้ว แถมยังต้องร่วมปรบมือให้ดังๆ ในตอนจบที่ตัดอารมณ์คนดูในช่วงที่พีคที่สุดได้พอดีมากๆ จนปล่อยให้ความรู้สึกสุดฟินนั้นซึมเข้าไปในใจได้อีกนาน ซึ่งเกณฑ์คะแนนของผมคือ 4 ดาวผมก็ให้เต็ม 4 แต่ถ้าอัตราส่วนคะแนนเป็นเต็ม 100 ผมก็จะยังคงให้ 100 คะแนนเต็มกับหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ ขอเชิญดู Whiplash โรงเถอะครับ โคตร Recommend ไม่งั้นก็คงเหมือนไม่ได้ดูจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น