![]() |
| รีวิว Love, Rosie - รัก, เพื่อน (ฉบับนิยาย) |
จาก: Chi
เรื่อง: Love, Rosie หนังสือแนว Chic-List เล่มแรกที่เคยอ่าน
ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านนิยายก่อนที่จะไปดูหนังอยู่แล้ว จึงมักตามหานิยายใหม่ๆ ที่เป็นวัตถุดิบในการทำหนังทุกครั้งที่ไปร้านหนังสืออยู่เสมอ แต่โดยส่วนมากจะเป็นแนวสืบสวน-ฆาตกรรมหรือไม่ก็ฉีกไปทางแฟนตาซีหรือ Young Adult เสียมากกว่า ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะหนังสร้างจากนิยายรักส่วนมากนั้นบางทีก็ไม่ค่อยเห็นนำมาแปลไทย(หรือแปลมาเยอะแล้วแต่หาไม่เจอ หรือหาเจอแต่ปกดูน้ำเน่าจนไม่กล้าอ่าน) แต่จะให้ไปนั่งอ่าน Eng Ver. เลยก็ดูเสียเวลาเกิน(แถมยังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างอีก) ทำให้เมื่อได้ยินว่า Love, Rosie นิยายแนว Chick-lit ที่มีเดิมว่า Where Rainbows End ถูกค่ายใหญ่ซื้อลิขสิทธิมาแปลแถมตัวหนังก็จะเข้าโรงในอีกประมาณ 2 อาทิตย์ก็รีบออกมาซื้อมาอ่านในทันทีแม้ว่าจะไม่เคยอ่านนิยายแนวนี้มาก่อนเลยก็ตาม
ซึ่ง Love, Rosie ฉบับนิยายนั้นเล่าเรื่องราวของ Alex และ Rosie เพื่อนสุดซี้ที่สนิทกันมาตั้งแต่ 5 ขวบ และก็ดำเนินความสัมพันธ์แบบฉันท์มิตรกันมาอยู่เสมอ แม้ว่า Alex นั้นจะย้ายไปต่างเมืองทั้งคู่ยังหมั่นติดต่อกันทางจดหมายและอีเมลอยู่ตลอดมา จนกระทั่งเมื่อที่ทั้งคู่ถึงวัย 17 ปี Rosie ก็ได้ชวน Alex กลับมาเป็นคู่เต้นรำที่งานพรอมไนท์ที่โรงเรียน แต่ด้วยความผิดพลาดทำให้ Alex ไม่สามารถมาได้จนทำให้ชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ต้องพลิกผันและเปลี่ยนไปตลอดกาล
แม้ว่าแนวหนังสือของ Love, Rosie จริงๆ จะออกไปแนว Chick-Lit อย่างชัดเจน ทั้งค่านิยมด้านการพึ่งพาตัวเอง การพยายามเดินตามความฝันที่ได้ตั้งไว้ การตั้งความหวังกับรักในชีวิตของสาวๆ ที่คิดว่ามันจะต้องออกมาสมบูรณ์ แต่ถ้าหากมองในอีกมุมแล้วจะพบว่าความเป็นจริงนั้น Love, Rosie ควรจะถูกจัดอยู่ในหมวด Coming-of-Age + Comedy เสียมากกว่า เพราะหนังสือพาเราไปรู้จักกับ Rosie ตั้งแต่วัยเด็กลากยาวไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ของตัวละคร ผ่านทางการเล่าเรื่องผ่านจดหมาย อีเมล โปรแกรมแชท ที่ตัวละครแต่ละคนส่งไปมาหากัน จนทำให้คนอ่านรู้ถึงความคืบหน้าและความเป็นมาเป็นไปของแต่ละตัวละครได้ตลอดทั้งเรื่อง และยังมีช่องว่างระหว่างเวลาที่ให้เราได้สามารถเติมเต็มและจินตนาการกันเองว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องที่แหวกแนวน่าสนใจแต่ยังคงความลื่นไหลและความสนุกไว้ได้อย่างครบถ้วนเลย
นอกจากวิธีการเล่าเรื่องแล้ว ความแปลกที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของ Love, Rosie ก็คือความเป็นแนว Coming-of-Age อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น ที่จะได้เห็นตัวละครเติบโตขึ้นทั้งสภาพร่างกาย จิตใจและความคิดความอ่านผ่านไปตามกาลเวลา ซึ่งที่น่าแปลกใจคือความเป็นจริงแล้วหากเหตุการณ์ในชีวิตของ Rosie นั้นเกิดในชีวิตจริงก็คงจะถือว่าเป็นเรื่องที่หนักไม่น้อย หลายช่วงในชีวิตของ Rosie ถือเป็นจุดตกต่ำที่เห็นใจ น่าเอาใจช่วยและคาดหวังให้เธอได้เจอกับชีวิตที่ดีได้เร็วๆ แต่หนังสือกลับเล่าเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นออกมาได้อย่างมีความหวัง สนุกสนาน จนทำให้ได้นั่งอมยิ้มและได้หัวเราะอยู่ได้ตลอดทั้งเรื่องแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเลวร้ายจนขำไม่ออกในชีวิตจริงก็ตาม
ซึ่งนอกจาก Love, Rosie จะมอบความบันเทิงและความสุขชนิดที่อ่านไปยิ้มไปได้ตลอดเล่มแล้ว ยังมีแง่คิดการใช้ชีวิตดีๆ สอดแทรกเข้ามาอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ที่ไม่ได้มีแค่มุมมองแค่เพียงความรักของชายและหญิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นความรักและความสัมพันธ์ในครอบครัว ทั้งพ่อ แม่ พี่ น้อง ที่แม้ว่าจะเป็นหน่วยเล็กๆ ที่แต่ละคนก็ต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ทุกคนก็ยังคอยให้ความช่วยเหลือ คอยให้คำปรึกษา และมีกำลังใจดีๆ ให้กันอยู่เสมอจนไม่ว่าชีวิตของแต่ละคนจะเลวร้ายไปแค่ไหน หน่วยเล็กๆ อย่างครอบครัวนี้ก็จะคอยดูแลกันเสมอมา จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังสือมีโทนอบอุ่นขึ้นมากแม้ว่าเรื่องจะหดหู่จริงๆ รวมไปถึงประเด็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่มีทั้งเพื่อนจริง เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
ส่วนตัวแล้วอาจเป็นเพราะไม่เคยอ่านนิยายแนวๆ นี้มาก่อนเลยไม่ถูกว่าจริงๆ แล้ว นอกจาก Love, Rosie ก็จะมีเนื้อเรื่องประมาณนี้อยู่แล้วไหม มีแง่คิดแบบนี้ซ้ำๆ หรือเปล่า แต่ถ้าแค่ว่านี่ประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้อ่านก็ถือว่าประทับใจค่อนข้างมาก แม้ว่าหนังสือจะไม่มีฉากพีค ฉากปริ๊ดขยี้หัวใจ แต่การเดินเรื่องแบบไปเรื่อยๆ ผ่านความสุข ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็เหมือนไม่ต่างอะไรกับการนั่งดูภาพยนตร์เรื่อง Boyhood ที่ตามติดชีวิตผู้ชายเด็กคนเดิมมาตลอด 12 ปี เพียงแต่เรื่องนี้เปลี่ยนตัวละครเป็นผู้หญิงและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเรื่องก่อน ที่แม้ว่าบางช่วงจะมีติดๆ ขัดๆ กับความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของคู่พระ-นางไปบ้างแต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นหนังสือที่สนุก ฉลาด อบอุ่น และอ่านแล้วมีความสุขมากๆ อีกเรื่องนึงเลย
Love, Chi
P.S. หากใครที่คิดจะดูหนังเรื่อง Love, Rosie อยู่แล้ว อยากแนะนำว่าให้ลองไปหาหนังสือมาอ่านดูก่อนนะคับ เพราะเท่าที่ดูจาก ตัวอย่างหนังแล้วดูออกจะเป็นคนละโทนไปสักนิด คือจริงอยู่ที่ตัวอย่างหนังอาจจะดู Romantic มากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ยังเชื่อว่าตัวนิยายนั้นก็ยังมีจุดเด่นในการเล่าเรื่องที่สนุกมีชั้นเชิง และที่สำคัญน่าจะได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ครบถ้วนกว่า ซึ่งตัวหนังจะเข้าฉายในไทยรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มเป็นต้นไปตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. และฉายจริงในวันที่ 7 พ.ย. ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น