วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

[Movie] รีวิว The Fault in our Stars --> (* * * 1/2)


รีวิว The Fault in Our Stars

บ่อยครั้งที่เราจะเห็นได้ว่าหนังรักวัยรุ่นกับนักวิจารณ์มักเป็นของแสลงกัน เพราะหนังรักวัยรุ่นส่วนมากนั้นเป็นรักแบบอารมณ์ชั่ววูบ รักเพ้อฝันที่ใช้แค่เพียงอารมณ์จนละเลยความเป็นจริง จนคนดูเริ่มจับจุดกันได้ง่ายๆ ว่าหนังรักประเภทนี้ก็จะจบลงอย่าง Happy Ending พร้อมกับแนวคิดที่ว่า "ความรักชนะทุกสิ่ง" แม้ว่าเนื้อเรื่องที่เราเห็นนั้นจะดูมีอุปสรรคมากมายเพียงใดก็ตาม แต่การปรากฎตัวของหนังที่สร้างจากนิยายรักวัยรุ่นขายดีของ NY Times อย่าง The Fault in our Stars ก็ทำให้เราหันกลับมามองอีกครั้งว่ามีอะไรดีจนฉีกกระแสเดิมๆ ที่ผ่านมาได้ขนาดนั้น
รีวิว The Fault in Our Stars - pic1

The Fault in our Stars คือหนังที่เปิดตัวมาแรงแซงหน้า Edge of Tomorrow ที่ถือเป็นหนัง Blockbuster ที่เข้าฉายในช่วงเดียวชนิดที่ไม่เห็นฝุ่นและเดินหน้าสู่หลักร้อยล้านอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนเพียงไม่เท่าไร แถมยังได้รับคำชมจากทั้งนักวิจารณ์และแฟนๆ นิยายไปอย่างท่วมท้น จนอดไม่ได้ที่จะลองไปดูหนังเรื่องนี้แม้ว่าส่วนตัวแล้วจะไม่ได้ชอบดูหนังรักมากนักและไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน ซึ่ง The Fault in our Stars เล่าเรื่องของ ออกัสตัสและเฮเซล หนุ่มสาวที่ต้องเผชิญกับปัญหามะเร็งตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น วันหนึ่งทั้งคู่ก็ได้มาพบกัน ได้ทำความรู้จักจนเกิดเป็นความรักที่พวกเขาต่างก็รู้ว่าคงไม่มีทางยั่งยืนอย่างแน่นอน

รีวิว The Fault in Our Stars - pic2
หากมองกันตามตรงแล้ว The Fault in our Stars ก็มีบทหนังที่ชวนเรียกน้ำตาและโครงเรื่องที่ไม่ได้ต่างจากที่เคยเห็นจากบรรดาหนังหรือซีรี่ย์เกาหลีมากนัก ที่เอะอะพระเอกหรือนางเอกก็ป่วยเป็นลูคิเมียตายโดยทิ้งไว้ให้คนดูเหลือแต่ความฟูมฟายกับการจากไปของอีกฝ่ายแบบไม่บันยะบันยัง แต่ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ The Fault in our Star กลับมีประเด็นที่นุ่มลึกกว่านั้น ถึงวิธีการรับมือกับชีวิตที่เป็นโรคในรูปแบบต่างๆ การพยายามหาความสุขให้กับชีวิตเท่าที่จะมีได้ การใช้เวลาให้มีค่าที่สุดในช่วงที่เหลืออยู่ จึงทำให้หนังดูมีอะไรมากกว่าหนังรักที่บีบน้ำตาทั่วไป
รีวิว The Fault in Our Stars - pic3

นอกจากนี้อีกสิ่งที่ทำให้ The Fault in our Stars แตกต่างก็คือบทพูดที่ฉลาด หลายคำคมบาดใจและได้เก็บไปคิดแม้ว่าหนังจะจบลงไปแล้ว ส่งผลให้หลายๆ ส่วนของหนังออกมาอย่างลงตัว ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป ไม่ฟูมฟายจนมาก ไม่เรียกร้องบีบคั้นคนดู แต่กลับเดินหน้าค่อยๆ เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างเรียบง่าย แต่ทว่าก็ทำให้เราเอาใจช่วยกับความรักของคนทั้งคู่จนไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยตลอด 2 ชั่วโมง ทำให้โดยสรุปแล้ว The Fault in our Stars จึงถือเป็นหนังรักวัยรุ่นอีกเรื่องที่มีความหมายที่น่าสนใจกว่าหนังรักทั่วๆ ไป และยังทำให้เห็นว่าหนังรักยังพอมีพื้นทีสำหรับอะไรใหม่ๆให้ได้เล่นอีกเยอะเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น