 |
| รีวิว Need for Speed |
เพิ่งได้มีโอกาสมาตามเก็บหนังรถซิ่งอย่าง
Need for Speed เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ชั่งใจอยู่ว่าจะเลือกดูอะไรระหว่าง
Need for Speed กับ Brick Mansion แต่ด้วยความที่เป็นคอเกมส์มาเกือบทุกภาค จึงอยากรู้ว่าเมื่อแฟรนไชส์เกมส์แข่งรถสุดมันส์ถูกทำออกมาเป็นหนังแล้วจะมีทิศทางเป็นอย่างไร และจะออกมาเอาใจคอเกมส์ได้อย่างไรบ้าง
 |
| รีวิว Need for Speed - pic 1 |
Need for Speed ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์เล่าเรื่องของ โทบี้ ชายเจ้าของอู่ที่ถูกตัดสินคดีทั้งที่ไม่ได้ทำ ซึ่งเมื่อออกจากคุกมาได้ก็ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งเพื่อหวังจะแก้แค้น พล็อตหลวมของหนังมีเพียงเท่านี้ซึ่งแค่เห็นฉากแรกก็คงบอกได้ต่อไปว่าหนังจะจบลงอย่างไร แต่หนังก็ยังเอาตัวรอดได้จากการเล่าเรื่องแบบลื่นไหล แม้จะเดาได้แต่ก็ดูเพลินได้ตลอดทั้งเรื่อง
 |
| รีวิว Need for Speed - pic 2 |
มีรถหลายคันและมีหลายฉากที่ทำออกมาเอาใจคอเกมส์เป็นอย่างมาก หนังมีส่วนผสมของ Need for speed ภาค The Run (ที่เปลี่ยนจากการแข่ง California-> New York เป็นการเดินทางจาก New York -> California แทน) พร้อมทั้งการตามล่า + ตั้งด่านของบรรดาตำรวจแบบในภาค Most Wanted รวมไปถึงฉากแข่งรถกลางคืนที่มีกลิ่นอายแบบภาค Underground ก็ทำเอานึกถึงความรู้สึกตอนเล่นเกมส์ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่เลียบเขา ตะลุยป่าก็ทำออกมาได้สวยเหมือนในเกมส์มากเลยจริงๆ
 |
| รีวิว Need for Speed - pic 3 |
ที่จริงแล้วไม่อยากจัด Need for Speed ไปอยู่ในหมวดหนังแอคชั่นแต่อย่างใดเพราะหนังมีฉากแอคชั่นที่น้อย แต่ในทางกลับกันด้วยฉากแข่งรถที่เยอะจุใจอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ Need for Speed ควรจะถูกจัดไปอยู่ในหมวด Racing ที่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับหนังแอคชั่นโจรกรรมที่มีรถเป็นส่วนประกอบอย่างหนังตระกูล Fast ด้วยซ้ำ ซึ่งด้วยรวมแล้ว Need for Speed เป็นหนังบันเทิงป็อปคอร์นที่มีรถ Supercar สวยๆ ฉากแข่งรถบันเทิงสุดๆ และดูเพลินมากกว่าที่คิด ยิ่งได้ระบบเสียงดีๆ ตอนแข่งรถแล้วยิ่งเพิ่มอรรถรสได้มากขึ้นเยอะเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น