ก่อนหน้านี้มีความตั้งใจว่าจะรีบๆ ดูหนังของปี 2013 ให้ครบถ้วนเสียก่อนแล้วค่อยมานำเสนอ 10 หนังในดวงใจประจำปี แต่จะว่าไปก็เป็นที่น่าพอใจแล้วเพราะจนถึงวันนี้ก็ได้ดูหนังของปี 2013 ที่อยากดูไปได้เกือบครบทุกเรื่อง จะขาดก็แต่หนังรางวัลอีก 2-3 เรื่องที่น่าสนใจอย่าง Her, The Wolf of Wall Street, Dallas Buyers Club ส่วนที่เหลือก็ไม่น่าจะมีอะไรตกหล่นแล้ว ซึ่งทั้ง 10 เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ความชอบส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้ตัดสินว่าหนังเรื่องไหนเป็นหนังที่ดีหรือไม่ดี แต่เป็นความรู้สึกดีๆ และความประทับใจที่ได้ดู แน่นอนว่าอาจมีหลายๆ เรื่องทีดีกว่านี้อีกมาก แต่ที่ไม่ได้มาอยู่ List อาจเป็นเพราะ 1. ยังไม่ได้ดู 2. ไม่ชอบเท่าเรื่องที่อยู่ใน List ยังไงก็เสนอความเห็น หรือแชร์หนังที่ตัวเองประจำปี 2013 กันได้ตามสะดวกครับ [List เรียงตามลำดับตัวอักษร ไม่ใช่ลำดับความชอบแต่อย่างใด]
มาเริ่มที่เรื่องแรก About Time หนังที่ผมขอยกให้เป็นหนัง Feel Good ที่สุดของปี กับเรื่องราวความรักของชายผู้มีความสามารถในการเดินทางข้ามเวลา แม้ว่า About Time จะเดินเรื่องไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีจุดพีค ตรรกะการข้ามเวลาแปลกๆ ชีวิตตัวเอกที่ไม่เคยมีปัญหา แต่ทั้งหมดนี้ก็สามารถมองข้ามไปได้จากการเล่าเรื่องที่ซื่อตรงกับคนดู ตัวละครที่น่ารัก และมวลความรักที่หนาแน่นไปทั่วทั้งเรื่อง ทั้งความรักในแบบหนุ่มสาวและความรักในครอบครัว จนดูจบไปแล้วยังอิ่มใจ หัวใจพองโต และยิ้มได้อยู่ทุกครั้งเมื่อได้เห็นตัวอย่างหรือได้ฟังเพลง How Long will I Love You อยู่จนถึงทุกวันนี้
หนังอเมริกันจ๋าที่มีดีตรงที่การประชันบทบาทชนิดที่ฆ่ากันตายคาจอในเกือบทุกซีนที่อยู่ร่วมกัน แถมยังเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง มีพัฒนาการของตัวละครแต่ละตัวที่น่าสนใจ อีกทั้งตัวละครทุกตัวยังมีสีเทาได้ใจจนเกลียดใครในเรื่องไม่ลงสักคน ดูจบแล้วพูดได้ไม่เต็มปากเลยว่าใครดีหรือใครเลว แม้ว่าเรื่องการต้มตุ๋นนั้นจะดูไม่ได้เหนือชั้นเหมือนอย่างหนังแนวเดียวกันเรื่องไหนๆ แต่ความตลกร้ายหน้าตายของดาราแต่ละคน บวกกับประเด็นศีลธรรมชวนคิดในเรื่องก็ทำเอาอดยกให้เป็น 1 ใน 10 ของ list นี้ไม่ได้
![]() |
Gravity |
3. Gravity
ที่สุดของที่สุดสำหรับหนังอวกาศแห่งยุคที่มีชื่อว่า Gravity หนังหันเข้าสู่การเล่าเรื่องแบบธรรมดาและเน้นไปที่ความสมจริง แต่แฝงไปด้วยพลังงานชีวิตอย่างเหลือล้นแม้ว่าจะมีตัวละครเพียงคนเดียวในเรื่องที่แบกรับทุกอย่างเอาไว้ก็ตาม ทุกวินาทีดูไปก็ได้แต่อ้าปากค้างไปในแต่ละซีนที่ผู้กำกับคิดออกมา (โดยเฉพาะฉาก Long Take ในช่วงแรก) จนอยากรู้ว่าในหัวของอัลฟองโซ กัวรอง มีอะไรอยู่ถึงได้จินตนาการทุกอย่างบนสกรีนเขียวๆ แล้วถ่ายทอดออกมาได้มีพลังขนาดนี้!!
อีกหนึ่งหนังแป้กแห่งปีแต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเหตุใดคนถึงยี้หนังเรื่องนี้กันมากมาย แต่ส่วนตัวแล้วดูๆ ไปก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากภาคแรกสักเท่าไร มีทั้งความมันส์ความฮาบันเทิงใจแบบเต็มแม็กซ์โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก น้องโคลอี้ก็น่าร๊ากจนอภัยให้แทบทุกข้อเสียในเรื่อง ซึ่งสำหรับผมแล้ว Kick Ass 2 แทบจะตอบโจทย์ต่อมความบันเทิงให้กับผมได้ทุกประการโดยไม่ต้องไปเสียเวลาหาข้อผิดพลาดอื่นๆ เลย
![]() |
Miracle in Cell No.7 |
หนังเกาหลีขยี้ต่อมน้ำตาแห่งปีที่ดูแล้วต้องยอมสังเวยน้ำตาไปถึง 3 จอก กับเรื่องราวของพ่อสติไม่สมประกอบที่ต้องติดคุกโดยที่ไม่มีความผิด โดยมีลูกสาวตัวน้อยแอบเข้ามาอยู่ด้วย Miracle in Cell No. 7 เล่าเรื่องออกมาได้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ค่อยๆ บิ๊วท์คนดูอยู่รายทาง ทำให้เรายิ้ม เราหัวเราะไปกับความสัมพันธ์น่ารักๆ ของผู้คนในเรือนจำและเด็กสาวจนเผลอตายใจปล่อยการ์ดให้หนังกระหน่ำสอยปลายคางเข้ามาจนน้ำตาร่วงแบบไม่รู้ตัว รวมไปถึงยังสอดแทรกประเด็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลในสังคมได้อย่างแสบสันต์แท้ๆ
6. Prisoners
"ไม่ได้ดูหนังสืบสวนที่สนุกแบบนี้มาหลายปีแล้ว!!" นี่คือความรู้สึกหลังจากได้ชม Prisoners จบ หนังสืบสวนดราม่าเรื่องนี้เล่าเรื่องเก่งมากกับการทิ้งเบาะแสให้คนดูคาดเดาอยู่รายทาง ความท้าทายก็คือเบาะแสเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่หนังโชว์ให้คนดูเห็นอยู่โต้งๆ แต่กลับนำมาประกอบรวมกันไม่ได้ รวมไปถึงประเด็นศีลธรรมของตัวละครที่เข้มข้นน่าสนใจ อีกทั้งยังพลังการแสดงของทุกๆ ตัวละครที่เข้มจริงเครียดจริงจนไมเกรนแทบขึ้น
7. The Croods
แอนนิเมชั่นที่ชอบที่สุดของปีนี้ผมต้องขอนอกกระแสส่วนใหญ่แล้วยกให้ The Croods ไปเลย กับเรื่องราวของครอบครัวยุคดึกดำบรรพ์ที่กลัวการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง ที่ถึงแม้ว่าจะมีฉากหลังเป็นยุคหินแต่ประเด็นของเรื่องนั้นกลับจิกกัดโลกยุคปัจจุบันไม่น้อย กับการปรับตัวให้เข้ากับสังคมเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเข้าใจมุมมองของคนทั้งสองฝ่ายที่เติบโตมาคนละแบบคนละช่วงเวลา ซึ่งนอกจากแง่คิดดีๆ แล้ว The Croods ยังเล่าเรื่องได้สนุกมีความฮาระดับ 10 กะโหลกอยู่หลายฉากเลยทีเดียว
8. The Hunger Games - Catching Fire
ในฐานะแฟนหนังสือตัวยงต้องปรบให้กับผู้กำกับ ฟรานซิส ลอร์เรน ที่บรรจงถ่ายทอดเรื่องราวได้สมดุลถูกใจทั้งแฟนๆ หนังสือและผู้ที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนเป็นอย่างมาก ขนาดที่ว่าภาคมีมาตรฐานที่สูงแล้ว เจอภาคสองเข้าไปก็สร้างมาตรฐานที่สูงกว่าเดิมขึ้นมาอีก ทั้งการเดินเรื่องที่กระชับเท่าที่จะทำได้ ฉากต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างอลังการกว่าเดิม ส่วนเจน ลอร์ก็ยังทำหน้าที่ได้คงเส้นคงวา จนสุดท้ายยังไม่รู้จะหาอะไรติได้เลย
![]() | |
Prisoners |
"ไม่ได้ดูหนังสืบสวนที่สนุกแบบนี้มาหลายปีแล้ว!!" นี่คือความรู้สึกหลังจากได้ชม Prisoners จบ หนังสืบสวนดราม่าเรื่องนี้เล่าเรื่องเก่งมากกับการทิ้งเบาะแสให้คนดูคาดเดาอยู่รายทาง ความท้าทายก็คือเบาะแสเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่หนังโชว์ให้คนดูเห็นอยู่โต้งๆ แต่กลับนำมาประกอบรวมกันไม่ได้ รวมไปถึงประเด็นศีลธรรมของตัวละครที่เข้มข้นน่าสนใจ อีกทั้งยังพลังการแสดงของทุกๆ ตัวละครที่เข้มจริงเครียดจริงจนไมเกรนแทบขึ้น
![]() |
The Croods |
แอนนิเมชั่นที่ชอบที่สุดของปีนี้ผมต้องขอนอกกระแสส่วนใหญ่แล้วยกให้ The Croods ไปเลย กับเรื่องราวของครอบครัวยุคดึกดำบรรพ์ที่กลัวการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง ที่ถึงแม้ว่าจะมีฉากหลังเป็นยุคหินแต่ประเด็นของเรื่องนั้นกลับจิกกัดโลกยุคปัจจุบันไม่น้อย กับการปรับตัวให้เข้ากับสังคมเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเข้าใจมุมมองของคนทั้งสองฝ่ายที่เติบโตมาคนละแบบคนละช่วงเวลา ซึ่งนอกจากแง่คิดดีๆ แล้ว The Croods ยังเล่าเรื่องได้สนุกมีความฮาระดับ 10 กะโหลกอยู่หลายฉากเลยทีเดียว
![]() |
The Hunger Games - Catching Fire |
8. The Hunger Games - Catching Fire
ในฐานะแฟนหนังสือตัวยงต้องปรบให้กับผู้กำกับ ฟรานซิส ลอร์เรน ที่บรรจงถ่ายทอดเรื่องราวได้สมดุลถูกใจทั้งแฟนๆ หนังสือและผู้ที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนเป็นอย่างมาก ขนาดที่ว่าภาคมีมาตรฐานที่สูงแล้ว เจอภาคสองเข้าไปก็สร้างมาตรฐานที่สูงกว่าเดิมขึ้นมาอีก ทั้งการเดินเรื่องที่กระชับเท่าที่จะทำได้ ฉากต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างอลังการกว่าเดิม ส่วนเจน ลอร์ก็ยังทำหน้าที่ได้คงเส้นคงวา จนสุดท้ายยังไม่รู้จะหาอะไรติได้เลย
![]() |
This is the End |
9. This is the End
จะมีสักกี่ครั้งที่ได้เห็นดาราที่เราชอบมาทำอะไรบ้าๆ ในหนังสักเรื่องหนึ่ง This is the End คือหนังที่จะเราจะได้เห็นในสิ่งนั้น กับเรื่องราวของวันโลกาวินาศ ณ ปาร์ตี้ที่บ้านของ เจมส์ ฟรังโก้ โดยความบ้าขั้นแรกก็คือการที่ดาราแต่ละคนในเรื่องก็มาเล่นเป็นตัวเองโดยใช้ชื่อจริง ความบ้าขั้นที่ 2 ก็คือการที่ได้เห็นดารารับเชิญชื่อดังต่างๆ อาทิ ริฮันน่า, เอ็มม่า วัตสัน และอีกมากมายในบทบาทที่เห็นแล้วแทบช๊อกของพวกเขา จนไปถึงความบ้าขั้นสุดท้ายคือความฮาและความมั่วถึงขีดสุดของบทที่ไปไกลกว่าที่คิดเอาไว้มาก
![]() |
You're Next |
10. You're Next
โคตรบ้า โคตรฮา โคตรมันส์ โคตรสะใจ ที่ได้เห็นตัวละครที่ปกติแล้วตกอยู่ในสถานะของมวยรองในหนังประเภทนี้ลุกขึ้นมาเอาคืนกับเขาบ้าง หลังจากที่ตัวละครส่วนมากในหนังแนวนี้จะเป็นฝ่ายถูกย่ำยีอยู่ทุกเรื่อง ซึ่งสำหรับใน You're Next นั้นก็ตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดีสำหรับคนที่ชอบดูหนังแนว Slasher ที่มีตัวละครฉลาดพร้อมลุยและน่าเอาใจช่วยเช่นนี้ มีหลายฉากที่ต้องตบเข่าฉาด ตะโกนโห่ร้อง และเอาใจช่วยแบบห้ามไม่ได้จริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น