 |
| รีวิว Like Father, Like Son |
หากวันหนึ่งเรารู้ว่าลูกที่เราเลี้ยงมาถึง 6 ปีนั้นไม่ใช่ลูกของเรา แต่กลับเป็นเด็กที่ถูกสลับตัวกับเด็กคนอื่นเราจะทำอย่างไร? ระหว่างเลือกลูกในสายเลือดกลับคืนมา หรือเลือกเลี้ยงลูกตนเดิมที่มีความผูกพันและอยู่ด้วยกันมาถึง 6 ปี ซึ่งนี่คือคำถามที่ครอบครัวของตัวเอกในเรื่อง
Like Father, Like Son จะต้องเผชิญ เมื่อครอบครัวที่ดูเหมือนเพรียบพร้อมครอบครัวหนึ่งต้องพบกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อทางโรงพยาบาลติดต่อมาเพราะเกิดปัญหาเด็กสลับตัว ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่พล็อตเรื่องที่ดูใหม่แต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมาก็มีละครไทยอยู่หลายเรื่องที่มีพล็อตลักษณะเช่นนี้อยู่ตลอด แต่ความแตกต่างก็คือ
Like Father, Like Son แสดงให้เห็นว่าปัญหาลูกสลับตัวกันนั้นไม่ใช่เรื่องตลกเหมือนดั่งในละครไทยที่สุดท้ายตัวละครได้รู้ความจริงก็โผเข้าหาพ่อ แม่แท้ๆ อย่างง่ายดายโดยไม่มีประเด็นใดให้ค้างคาใจ
 |
| Like Father, Like Son - Pic1 |
ต่างกับ
Like Father, Like Son ที่แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาแค่เพียง 6 ปีที่ได้ดูแลลูกมา แต่หนังก็แสดงให้เห็นว่าสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ช่างดูน่าอึดอัดใจและส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้ที่เกี่ยวข้องไปอย่างไรบ้าง เพราะถึงแม้ว่าตามหลักแล้วอาจดูเหมือนเรื่องง่ายที่จะรับลูกที่เป็นสายเลือดตัวเองมาเลี้ยงให้จบๆ ไปเพราะสุดท้ายเด็กคนนี้ยังไงก็เป็นลูกของเราจริงๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นตลอด 6 ปีที่ผ่านมาในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ปัจจัยที่สำคัญไม่ใช่แค่เพียงเลือดเนื้อเชื้อไขและสายเลือดที่วนเวียนอยู่ในตัวเด็กเท่านั้น หากแต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อ แม่ทุกคนทุ่มเทลงไว้ให้ในภาชนะที่เราเรียกว่า "ลูก" ทั้งความคาดหวัง ความรัก นิสัยใจคอ ความผูกพัน ความผิดพลาดในอดีตของตัวพ่อ แม่ และทุกๆ อย่างที่ล้วนแต่ส่งผลไปถึงอนาคตของเด็กทั้งนั้น ทำให้แม้ว่าในตัวเด็กคนนี้ที่ไม่จะไม่มีสายเลือดเราอยู่เลย แต่ก็ชดเชยด้วยการแบกรับทุกอย่างของเราเอาไว้เต็มๆ จนยากที่จะตัดใจไปได้
 |
| Like Father, Like Son - Pic2 |
แต่หากเลือกเด็กที่ความผูกพันแต่แรก คำถามต่อมาก็คือเราจะรักเขาได้เท่าเดิมเหมือนตอนก่อนที่เราจะรู้ข้อเท็จจริงนี้ไหม? ลองคิดถึงสภาพเมื่อเด็กเติบโตขึ้น เมื่อพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีลักษณะใดที่ตรงกับคนในครอบครัวเลย เราจะสามารถรับกับสภาพที่ว่านั้นได้มากแค่ไหน และนอกจากนี้ยังจะต้องนึกถึงตัวเด็กเองที่ผ่านสภาพแวดล้อมตั้งแต่เกิดมากันคนละแบบซึ่งเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การปรับตัวให้เข้ากับอีกบ้านจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาเลย ซึ่งสำหรับครอบครัวของตัวเอกนั้นเป็นครอบครัวที่อยู่ฐานะที่ค่อนข้างดี พ่อที่เป็นหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่การงานก้าวไกลมีหน้ามีตาในสังคม มีการเลี้ยงดูลูกในลักษณะคนเมืองออกแนวเป็นลูกคุณหนูนิดๆ มีการปลูกฝังด้านการศึกษา และความสามารถพิเศษไว้อย่างเพรียบพร้อมเพื่ออนาคตของตัวเด็ก ต่างจากอีกบ้านหนึ่งที่ตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ลูกถูกสลับตัวเช่นกัน ที่มีฐานะแบบพอมีพอกินจากการเป็นร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีลูกถึง 3 คน ซึ่งบ้านนี้มีการเลี้ยงลูกแบบลักษณะลูกทุ่งๆ หน่อยๆ ปล่อยเด็กวิ่งเล่นตามธรรมชาติ ไม่ค่อยสนใจอบรมเรื่องมารยาทสักเท่าไร
 |
| Like Father, Like Son - Pic3 |
ถ้ามองแค่นี้คงตอบได้ไม่ยากว่าครอบครัวของฝั่งพระเอกนั้นคงเหมาะที่จะเลี้ยงเด็กกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีทุกอย่างที่เพรียบพร้อมสำหรับอนาคตของเด็ก แต่เมื่อหนังเล่าเรื่องไปสักพักเราก็จะยิ่งเห็นว่าความต่างของฐานะที่ว่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงทางสังคมที่ไม่ได้มีผลใดๆ ต่อความสุขที่เด็กจะได้รับเลยแม้แต่น้อย ในครอบครัวของตัวเอกที่แม้ว่าจะมีทุกอย่างแล้ว แต่ก็ขาดสิ่งที่สำคัญสำหรับครอบครัวไปนั่นก็คือ "เวลา" ที่คนเป็นพ่อจะมีให้กับภรรยาและลูก ด้วยฐานะที่มั่นคงนั้นย่อมต้องแลกมากับการทำงานที่เต็มประสิทธิภาพจนแทบไม่เหลือเวลาให้กับที่บ้านสักเท่าไร กลับกลายเป็นว่าบ้านของอีกฝ่ายที่ทั้งฝ่ายพระเอกและคนดูปรามาสไว้ในตอนแรกว่าจะมีปัญญาเลี้ยงดูเด็กให้มีคุณภาพได้อย่างไรนั้น กลับทำหน้าที่เติมเต็มความสุขให้กับเด็กๆ ได้มากกว่า จนปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่า "ครอบครัวที่อบอุ่น" อย่างแท้จริงโดยที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะทางบ้านมาเป็นปัจจัยแต่อย่างใด แต่กลับเป็นเรื่องของ "เวลา" ที่ทุกคนในครอบครัวมีให้กัน นี่เป็นเพียงแค่ 2 ประเด็นตัวอย่างที่ขับเคลื่อน Like Father, Like Son ไปข้างหน้าได้อย่างเข้มข้นน่าติดตามทั้งเรื่องได้แล้ว ซึ่งในเรื่องนั้นยังคงมีประเด็นดีๆ อีกมากมายให้ได้ขบคิดอยู่ตลอดทั้งเรื่องในเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวที่น่าสนใจมากๆ เลยทีเดียว
 |
| Like Father, Like Son - Pic4 |
วิจารณ์ประเด็นเนื้อเรื่องไปก็มากแล้วมาในส่วนอื่นๆ กันบ้าง
Like Father, Like Son นั้นยังมีอีกหลายส่วนให้ได้ชมกันตลอด 2 ชั่วโมงของภาพยนตร์ ทั้งการกำกับภาพที่สวยมาก หนังใช้ภาพเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาด ทำให้ในบางฉากดูมีความหมายและจุกได้ทั้งๆ ที่ไม่ต้องใช้คำพูดแต่อย่างใด รวมไปถึงในด้านเสียงประกอบก็ทำออกมาได้ไม่แพ้กันเลย จุดเด่นของหนังดราม่าญี่ปุ่นส่วนมากมักใช้ความเงียบ และดนตรีเบาๆ ประกอบ จะไม่มีการบิวท์โฉ่งฉ่างให้ฟูมฟายเหมือนอย่างหนัง Hollywood หรือหนังเกาหลีที่ดันสุดแรงเมื่อต้องการขยี้ดราม่า ซึ่งกับ
Like Father, Like Son นั้นก็ใช้ดนตรีคลอไปตามสไตล์หนังดราม่าญี่ปุ่นอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่น่าแปลกที่เสียงประกอบนี้กลับเอื้อให้หนังแบบกระชากใจจนแทบน้ำตาเล็ด การดำเนินเรื่องแม้จะเป็นไปอย่างราบเรียบแต่ก็น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงดาราทุกคนก็ทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างเต็มที่จนดูแล้วเชื่อได้อย่างสนิทใจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทำให้โดยสรุปแล้วเรียกได้ว่า
Like Father, Like Son น่าจะเป็นหนังที่เกือบสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้านอยู่แล้ว ควรค่าแก่รางวัล Jury Price ในเมืองคานส์ และการเป็นหนังขวัญใจคนดูและนักวิจารณ์อย่างแท้จริง จนอยากเชียร์ให้ทุกคนได้ไปรับชมกันแบบไม่ลังเลเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น