![]() |
| รีวิว Romeo and Juliet |
อีกหนึ่งประเภทของหนังที่ถือเป็นความท้าทายสำหรับทีมผู้สร้างเป็นอย่างมาก
นอกจากหนังประเภทชีวประวัติแล้วก็มีหนังที่รีเมคจากสิ่งที่คนยกย่องและให้คำจำกัดความว่า
“คลาสสิค” นี่ล่ะ เนื่องจากคำว่าคลาสสิคนั้นนอกจากจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความดี
ความสนุกที่คงอยู่อมตะมาหลายยุคหลายสมัยแล้วนั้น ยังถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเล่าในสิ่งที่คนดูรู้จนหมดเปลือกหมดแล้วตั้งแต่ฉากต้นยันฉากจบ
ทำให้ทุกครั้งเมื่อมีหนังประเภทนี้ขึ้นมาก็มักที่จะถูกจับตามองและตั้งแง่ไว้ก่อนว่าจะทำลายความคลาสสิคที่พวกเขาเคยรับรู้กันได้หรือไม่
โดย Romeo and Juliet ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องราวความรักที่สุดแสนจะคลาสสิคเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาถ่ายทอดมาแล้วหลากหลายรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง
หรือหากเปรียบไปก็เสมือนบ้านทรายทอง หรือดาวพระศุกร์ของบ้านเราดีๆ นี่เอง
![]() |
| Romeo and Juliet-pic1 |
![]() |
| Romeo and Juliet-pic2 |
ด้วยเจตนาของผู้สร้างที่ประกาศเจตนารมณ์ค่อนข้างชัดเจนในบทสัมภาษณ์ว่า
Romeo and Juliet ในแบบของเขานั้นจะเป็นในรูปแบบที่ดูง่ายสำหรับทุกคน
โดยที่ไม่ต้องอาศัยหลักวิชาการของเช็คสเปียร์มาตีความเนื้อหาแต่อย่างใด
ซึ่งหลังจากที่ได้ชมก็พบว่าหนังทำเช่นนั้นได้จริงๆ
และที่น่าสนใจกว่านั้นแม้ว่าเรื่องราวจะเล่าให้เข้าใจง่าย แต่แทนที่บทพูดของนักแสดงจะเป็นบทพูดธรรมดาเหมือนหนังทั่วไป
กลับถูกแทนที่ด้วยบทกลอนจากตัวต้นฉบับจริงๆ เลยทำให้ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นนี้ก็ดูแปลกไปอีกแบบ
รวมไปถึงงานโปรดักชั่นที่ค่อนข้างทำออกมาดี ทั้งฉากหลังที่เมืองทำออกมาได้สวย
รวมไปถึงคอสตูมต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นชุดย้อนยุคเสียส่วนใหญ่ แต่ดูๆ
ไปกลับรู้สึกถึงความทันสมัยได้อย่างน่าประหลาดใจ
![]() |
| Romeo and Juliet-pic3 |
อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจของ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นนี้ก็คือการยกทัพนักแสดงน้อยใหญ่มาอย่างคับคั่ง
ทั้ง Damian Lewis (พระเอกใน Homeland), Ed Westwick (ชัค แบส ใน Gossip Girls), Hailee Steinfeld(จาก True Grit) และPaul
Giamatti อีกด้วย ซึ่งแต่ละคนก็มีซีนที่แสดงพลังการแสดงของตัวเองได้น่าสนใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายก็คือตัวพระเอกโรมิโอเองที่อาจดูหน้าใหม่ไปหน่อย
รวมไปถึง Hailee Steinfeld ที่พลิกบทบาทมารับบท Juliet ทำให้เคมีของทั้งคู่ดูไม่ค่อยเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก
อีกทั้งพลังการแสดงที่ยังไม่ค่อยถึงขั้นทำให้บทกลอนที่ดูมีความหมายกลับกลายเป็นสิ่งจืดๆ
เมื่อออกมาจากปากนักแสดงหลักอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้นี่จึงเป็นข้อด้อยจุดสำคัญที่เห็นในหนังได้อย่างเห็นได้ชัด
แต่ยังดีที่ว่าในฉากหลังๆ
นั้นนักแสดงตัวหลักทั้งสองนี้ก็เริ่มดีขึ้นไม่เช่นนั้นคงเป็นหายนะแก่หนังเรื่องนี้แน่ๆ
โดยส่วนตัวแล้วแม้ว่าปกติจะไม่ค่อยชอบหนังพีเรียดสักเท่าไร
แต่ก็ยังรู้สึกสนุกไปกับ Romeo and Juliet ในเวอร์ชั่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหนังเดินเรื่องค่อนข้างกระชับดี
มีจุดอืดบ้างแต่ก็ไม่นานเกินควร อีกทั้งยังทำให้คนดูรู้สึกติ่นเต้น แอบหวังลึกๆ
และเอาใจช่วยความรักของคนทั้งคู่ในฉากไคลแม็กซ์เผื่อว่าจะมีเหตุพลิกผันบ้างแม้ว่าจะรู้จุดจบของเรื่องราวอยู่แล้วก็ตาม
ซึ่งหากใครชอบหนังที่ตัวละครพ่นบทกลอนเพราะๆ หวานซึ้ง ชวนฝันแทนคำพูดธรรมดาๆ
รวมไปถึงความเวิ่นเว้อในอารมณ์ประมาณละครเวทีแล้วละก็ Romeo and Juliet เวอร์ชั่นนี้น่าจะเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณไม่น้อยครับ





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น