วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

[Movie] รีวิว : The Hunger Games - Catching Fire --> (* * * *)

รีวิว The Hunger Games : Catching Fire
ไม่น่าเชื่อเลยว่าภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายที่เคยถูกค่อนขอดว่าเป็นแนวเดิมๆ อย่างการจัดเด็กๆ มารวมตัวเพื่อฆ่ากันเองนั้นจะสามารถโด่งดังได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการประลองจัดเด็กมาฆ่ากันนั้นไม่ใช่องค์ประกอบหลักที่หนังและตัวนิยายต้องการจะนำเสนอ แต่สิ่งที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อว่า The Hunger Games ต้องการจะเสนอนั้นก็คือผลพวงจากสงครามและความรุนแรงของสังคมที่มีต่อเด็กและเยาวชนนั้นมีผลกระทบอย่างไรกับชีวิตพวกเขาบ้าง  ทำให้นี่คือสิ่งที่ The Hunger Games ไปได้ไกล และเป็นได้มากกว่าหนังที่จับคนมาฆ่ากันอย่างไร้ซึ่งเหตุผลในหลายๆ ด้านอย่างไม่ต้องสงสัย

The Hunger Games : Catching Fire - Pic1
ซึ่งสำหรับ The Hunger Games ในภาคนี้ก็ได้เล่าเรื่องต่อเนื่องจากภาคแรกภายหลังที่แคตนิสและพีต้าได้รับชัยชนะจาก Hunger Games ปีที่ 74 ในบทบาทของคู่รักที่มีอุปสรรคขวางกั้น แต่เนื่องจากประธานาธิบดีสโนว์กลับมองออกว่าความรักทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่การแสดง และตัวของแคตนิสเองก็มีศํกยภาพที่จะนำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ ทำให้เขาจึงพยายามขจัดเสี้ยนหนามที่เป็นภัยต่อแคปิตอลทิ้งไปให้ได้ โดยสำหรับ The Hunger Games ในภาคนี้ขอออกตัวก่อนว่าเป็นสร้างมาจากหนังสือเล่มที่ชอบที่สุดในบรรดาทั้ง 3 ภาคที่มีมา เนื่องจากหนังสือมีเนื้อหาที่เข้มข้นมากขึ้น ทั้งด้านแอคชั่นและดราม่าหนักๆ ที่ขยี้ใจ รวมไปถึงจุดหักมุมที่น่าสนใจ

The Hunger Games : Catching Fire - Pic2
ตอนแรกก็แอบหวั่นใจในการเปลี่ยนผู้กำกับ เนื่องจากในภาคแรกนั้นถือว่าทำออกได้ค่อนข้างดี (ถ้าไม่นับมุมกล้องที่ชวนเวียนหัวจนแทบอ้วกในฉากเคลื่อนที่เร็วๆ อยู่แทบทุกฉาก) แต่แล้วก็เมื่อหนังจบก็กลับรู้สึกว่าน่าจะได้ Francis Lawrence (I Am Legend, Constatine) ผู้กำกับภาคนี้มากำกับตั้งแต่ในภาคแรกแล้ว เพราะเฮียแกปล่อยของได้สุดมากๆๆๆ คือทำออกมาได้เอาใจทั้งแฟนๆ หนังสือและคนทั่วไปทั้งสองฝั่งเลย เพราะคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนก็สามารถเข้าใจและอินกับเนื้อเรื่องได้โดยไม่มีอะไรตกหล่น ส่วนฝ่ายที่อ่านหนังสือมาแล้วก็ยังสามารถสนุกกับหนังได้แม้ว่าจะรู้เรื่องมาทั้งหมดแล้ว เนื่องจากหนังค่อนข้างซื่อตรงกับต้นฉบับมากๆ ฉากที่ดราม่าในหนังสือก็ทรงพลังมากในหนัง แต่ก็ยังเสียดายที่หนังน่าจะใส่ฉากบอกใบ้ต่างๆ ที่นำไปสู่ฉากจบได้มากกว่านี้ รวมไปถึงฉากย้อนไปสมัยเฮมิตช์ลงแข่งในควอเตอร์เควลครั้งที่ 2 (The Hunger Games ครั้งที่ 50) ก็น่าจะทำให้หนังดูสมบูรณ์กว่านี้มากๆ

The Hunger Games : Catching Fire - Pic3
ซึ่งนอกจากผู้กำกับจะทำหนังได้มีจังหวะสนุกแล้วก็ต้องขอชมบรรดานักแสดงทุกคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนางเอกอย่าง Jenifer Lawrence ที่ปล่อยของเสมือนแบกตุ๊กตาทองมาเล่นด้วยอย่างไงอย่างงั้นเลย คือเล่นได้ถึงและเชื่อถึงสภาพจิตใจที่วุ่นวายของแคตนิสเอามากๆ ทำให้เมื่อจังหวะหนังที่ลงตัวและการแสดงระดับเทพมารวมกันก็เล่นเอาหลายๆ เล่นเอาน้ำตาซึมๆ ได้อยู่หมัดเลยทีเดียว เอาเป็นว่าหากใครยังไม่เคยดูภาคแรกก็แนะนำว่าควรไปหามาดูก่อนเป็นอย่างยิ่งเลยครับไม่งั้นดูไม่รู้เรื่องแน่ๆ ส่วนคนที่ไม่ชอบ The Hunger Games ในภาคแรกก็อยากให้ลองให้โอกาสกับภาค 2 อีกครั้งเพราะทุกอย่างดีขึ้นมากจริงๆ ส่วนคนที่ชอบภาคแรกอยู่แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดูเลยครับผม










1 ความคิดเห็น:

  1. สนุกตรงที่หนังดันพาเราไปกดดันดราม่าเสียตั้งแต่ต้นเรื่องเนี่ยแหละ รักตัวละครไปเลย :) แล้วพอรักแล้วมันก็ถอนตัวไม่ขึ้นไง เจ็บอะไรก็เจ็บไปด้วยตลอดเลย สนุกเลยทีนี้ :)

    ตอบลบ